又到年末,又到反思曾经历地种种,展望新的未来。泰国电影界4位导演齐力为你呈现未来10年的泰国样子,未来10年会科技会更发达?人民生活水平显著提高?经济飞速发展?是,好像又不是,欲知详情,来,请坐。

ในสายตาของคุณประเทศไทยปีพ.ศ. 2571 จะเป็นเช่นไร?

泰国人眼中的2028年会是怎样的呢?

ภาพยนตร์ “10 Years Thailand” เป็นโครงการภาพยนตร์ที่สะท้อนอนาคตของประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ “10 Years” ของฮ่องกง ที่รวบรวมภาพยนตร์สั้นหลากเรื่องจากผู้กำกับหน้าใหม่ 5 คน

电影《10 Years Thailand》是一部反映泰国未来10年的片子,从香港电影《10 Years》中获得灵感,香港电影《10 Years》集结了当时5位新人导演的多部短片。

สำหรับ “10 Years Thailand” นั้นได้นักทำหนัง 4 คนมาร่วมนำเสนออนาคตของประเทศในจินตนาการ ได้แก่ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล, อาทิตย์ อัสสรัตน์,วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง และจุฬญาณนนท์ ศิริผล โดยภาพยนตร์ได้รับเลือกให้ฉาย ณ เทศกาลเมืองคานส์ไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

电影《10 Years Thailand》则集结了4位导演来展示想象中泰国的未来,4位导演分别是Apichatpong Weerasethakul,Aditya Assarat,Wisit Sasanatieng和Chulayarnnon Siriphol ,影片已经在今年5月份戛纳电影节上映。

มาถึงคิวฉายในประเทศไทยบ้านเราบ้าง หลังผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการตรวจพิจารณาฯ พร้อมเรต 13+ (ภาพยนตร์ประเภทที่เหมาะสมกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป) “10 Years Thailand” จะฉายที่โรงภาพยนตร์ในจังหวัดใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ (กรุงเทพ, ปทุมธานี, ขอนแก่น, มหาสารคาม, เชียงใหม่, ชลบุรี, นครราชสีมา, ภูเก็ต, อุดรธานี, ศรีสะเกษ และสงขลา) ในวันที่ 13 ธ.ค. นี้

通过国家电影和13+等级(适合13+年龄人群观看的电影)审核后,《10 Years Thailand》于2018年12月13日在泰国各大府(曼谷、巴吞他尼、孔敬、玛哈沙拉堪、清迈、春武里、呵叻府、普吉、乌隆和宋卡)影院上映。

หนังฉายรอบปฐมทัศน์ไปเมื่อคืนวันที่11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์สกาล่า ไม่มีเพียงแต่คอหนังเท่านั้น แต่ยังมีทั้งนักกิจกรรมทางการเมือง นักวิชาการและนักการเมืองตบเท้ามาร่วมชมภาพยนตร์อย่างคับคั่ง

电影在2018年12月11晚在 Scala电影院首映,不仅有影迷还有相关政治活动家、学者和政治家前来观影。

บรรยากาศการฉาย “10 Years Thailand” รอบปฐมทัศน์ เมื่อคืนวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์สกาล่า

《10 Years Thailand》2018年12月11日在Scala 影院首映时现场观看气氛。

 

ส่วนภาพยนตร์จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามอ่านด้านล่าง (มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน)

电影到底讲了些什么呢,接着来看吧(有部分剧透)

 

เรื่องแรก: Sunset โดย ผู้กำกับ อาทิตย์ อัสสรัตน์

故事一:Aditya Assarat导演的 《Sunset》又译为《日落》

ผู้กำกับหนังอิสระอย่าง จุ๊ก-อาทิตย์ อัสสรัตน์ เจ้าของผลงาน “Wonderful Town” และ “Hi-So” ส่งภาพยนตร์สีขาวดำ สะท้อนถึงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อตำรวจและทหารบุกแกลเลอรี่ย่านพระราม 3 และสั่งให้ศิลปินปลดชิ้นงานของตัวเองออกจากนิทรรศการ ด้วยเหตุผลที่ว่า “สุ่มเสี่ยงต่อความแตกแยก”

自由导演Aditya Assarat (Joox),是《Wonderful Town》和《Hi-So》影片的导演交出了反映了去年发生的真实事件原因的黑白片,事件为:当警察和军人突闯拉玛3画廊并下令让艺术家们把自己的作品从展览会上撤下,此因名为“差异的不确定风险”。

เนื้อเรื่องของ Sunset นั้นได้ถ่ายทอดเหตุการณ์ที่ละม้ายคล้ายกัน คือมีทหารและตำรวจเข้ามา “ตรวจตราความเรียบร้อย” ภายในแกลเลอรี่ที่กำลังจัดแสดงนิทรรศการ “I Laughed So Hard, I Cried” ที่แสดงภาพถ่ายคนหัวเราะและร้องไห้ตามสถานที่ต่าง ๆ (นักเรียนยืนหัวเราะอยู่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตำรวจในเครื่องแบบนั่งร้องไห้อยู่ในร้านอาหาร เป็นต้น) สุดท้าย เจ้าหน้าที่ขอร้องให้ศิลปินปลดชิ้นงานบางชิ้นออกเพราะเกรงว่าจะทำให้เกิด “ความเข้าใจผิด”

故事《Sunset》根据真实事件改编:军人和警察进入将要举行名为“I Laughed So Hard, I Cried”展览的画廊“例行检查”,该展览展示不同场景下人们笑容和哭泣的照片(例如学生站立在民主纪念碑前大笑,穿制服的警察在餐厅里哭泣)。最后,工作人员要求艺术家们把部分作品撤下以免引起“歧义”。

อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่และศิลปินกลับเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ของพลทหารชั้นผู้น้อยและแม่บ้านของแกลเลอรี่ให้ได้ปลูกต้นรัก ทำให้ Sunset เป็นเรื่องที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากคนดู และให้ความรู้สึกอบอุ่นได้มากที่สุดในเรื่องทั้งหมด 4 เรื่อง

不管怎样,工作人员和艺术家之间的对峙演变回普通军人和画廊清洁工的爱情故事。这让《Sunset》获得了观众的笑声,并且也是4个故事中最让人感觉暖心的。

ผู้กำกับ อาทิตย์ เล่าว่า แม้เซ็นเซอร์ชิปหรือการควบคุมจากรัฐจะเป็นสิ่ง 2 ขั้วคือถูกและผิด (เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เขานำเสนอภาพยนตร์เป็นขาวดำทั้งหมด) แต่อาทิตย์เลือกจะแสดงให้เห็นมุมมองจากคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะมุมมองของพลทหารที่มีหน้าที่เพียงขับรถมาส่งเจ้านายที่แกลเลอรี่ “เขาอาจจะรู้สึก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา” อาทิตย์กล่าว “อะไร ๆ มันไม่ได้เหมารวมง่ายขนาดนั้น”

导演Aditya说道虽然话题敏感或者说国家控制2面性--非对即错(也是他把电影制作成成黑白片的一个原因),但是Aditya导演从不同人群角度去展示,特别是从只负责开车送上司到画廊的普通军人角度,“他可能感觉到,但没有说出口”Aditya说到“任何事物凑巧不是那么容易的”。

 

เรื่องที่สอง: Catopia โดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

故事二:Wisit Sasanatieng导演的《Catopia》又译为《畸形猫之城》

จะเป็นยังไงเมื่อประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าถูกยึดครองโดยแมว? วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง “ฟ้าทะลายโจร” “หมานคร” และ “เปนชู้กับผี” ส่งเรื่องราวโลกยุคดิสโทเปียที่ประชากรทั้งหมดเป็นแมว (สัตว์ที่เจ้าตัวบอกว่าเกลียด) มีเพียงมนุษย์คนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่รอด และพยายามอำพรางตัวเองให้แมวเชื่อว่าเป็นพวกเดียวกัน หากถูกจับได้ว่าเป็นมนุษย์ เขาจะถูกรุมประชาทัณฑ์ทันที

10年后被猫占领的泰国是怎样的呢?因《黑虎之泪》 英文名《Tears of Black Tiger》《大狗民》英文名《Citizen Dog》《庭怨森森》英文名《The Unseeable》而知名的导演Wisit Sasanatieng交出反乌托邦世界里人类都变成了猫(一种自己讨厌的动物),只有一人没有成为猫,而此人想尽办法伪装自己也是猫,因为如果被发现自己是人类 ,就会立刻被私刑处死的故事。

พูดได้ไม่ผิดว่า Catopia ต้องการจะสื่อสารถึงความแตกต่างของคนในสังคม และการกำจัด-ผลักไสคนที่แตกต่างออกไป ซึ่งถือว่าวิศิษฏ์ทำได้ดีหากเทียบกับโจทย์ของหนังที่มีเวลาจำกัดอยู่ราว ๆ 20 นาทีเท่านั้น

毋庸置疑,《Catopia》讲述传递出社会存在的差异并挤压排斥有差异的人,在电影主题时间仅有约20分钟情况下,可以说导演Wisit完成得相当出色。

จุดที่ต้องขอชมคือหนังสามารถทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครที่เป็นมนุษย์ รู้สึกอึดอัดและหวาดระแวงไปพร้อม ๆ กันได้ ส่วนจุดที่ยังรู้สึกตะหงิด ๆ กับภาพยนตร์คงไม่พ้นเทคโนโลยีซีจีคนหัวแมว (ที่วิศิษฏ์บอกว่าควักเงินในกระเป๋าตัวเองมาลงทุน) ที่ยังไม่สมจริงเท่าไรนัก (หรือจะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับเองที่ไม่อยากให้มีความสมจริงในภาพยนตร์เรื่องนี้?)

值得赞赏的是电影让观众和影片中人类的角色产生共鸣,让人感觉尴尬、难受和怀疑,另外比较疑惑的是影片中猫头不太逼真的技术(Wisit说是自掏腰包投资的)(或者难道是导演有意不想在此故事中表现得逼真?)

เรื่องที่สาม: ท้องฟ้าจำลอง (Planetarium) โดย จุฬญาณนนท์ ศิริผล

故事三:Chulayarnnon Siriphol导演的《天文馆》英译为《Planetarium》

เรียกได้ว่ามีความหวือหวาด้าน visual หรือภาพมากที่สุดใน 4 เรื่องทั้งหมดสำหรับ “ท้องฟ้าจำลอง” ของ เข้-จุฬญาณนนท์ ศิริผล ที่เลือกจะไม่นำเสนอบทพูดเลย แต่กลับใช้ประโยชน์จากภาพและเสียงในการเล่าเรื่อง สามารถเสียดสีโครงสร้างของสังคมไทยได้อย่างชัดเจน

该故事可以说是4个故事中最有视觉或者图片意外效果的了,影片《天文馆》中导演Chulayarnnon Siriphol(Khe)没有采用对话形式,而是利用图片和旁白,清晰地讽刺了泰国的社会结构。

ภาพยนตร์แนวไซไฟแฟนตาซี แต่กลับใส่ “ความเป็นไทย” ลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรียกความตื่นตาตื่นใจ (และเสียงแค่นหัวเราะ) จากคนดูได้ไม่น้อย เมื่อตัวละครเด็กหญิง-ชายในชุดลูกเสือสามัญอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้นำอย่างคุณป้าทรงผมกระบังลมในชุดสีชมพูพอง ๆ

科幻风格的电影,但不可思议地融入了“泰国风”,穿着粉色蓬蓬衣顶着蓬松头领导命令下的着侦察兵衣服的男女孩角色的新奇感吸引了不少的观众。

เมื่อมีคนดูตั้งคำถามว่าป๊อบอาร์ตสีสันฉูดฉาดจากยุค 80s – 90s ในเรื่องกลายมาเป็นจินตนาการของผู้กำกับสำหรับประเทศไทยในอนาคตได้อย่างไร จุฬญาณนนท์ตอบว่า “อนาคตอาจจะย้อนรอยไปสู่อดีตก็ได้” พร้อมเสริมว่าเขาอาจจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายที่เลือกจะนำเสนออนาคตของไทยออกมาในรูปแบบนี้ นอกจากนี้ จุฬญาณนนท์กล่าวว่าเขาเองก็ไม่ต่างจากเด็กไทยอีกหลาย ๆ คนที่เติบโตมาในโรงเรียนที่นักเรียนถูกอบรมให้เชื่อถือยึดมั่นในคุณธรรมความดี นำไปสู่การตั้งคำถามว่าสิ่งที่เราถูกสั่งสอนมานั้นคือสิ่งที่ถูกต้องจริง ๆ หรือไม่

有观众提问到80-90年代华丽的波普艺术在故事中变成导演的幻想,这怎么能符合未来的泰国呢?Chulayarnnon导演回应道“未来也可能回到过去”并补充说到他从悲观主义的角度来选择呈现如图片中未来泰国的样子;除此之外,Chulayarnnon导演也说到他和在学校从小到大被教导要相信坚守良善道德的学生并无不同,他引导大家对一直以来教导我们的良善道德思考是否正确。

เรื่องที่สี่: Song of the City โดย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

故事四:Apichatpong Weerasethakul导演的《Song of the City》

ยังคงลายเซ็นของเขาเอาไว้อย่างเคย ผู้กำกับ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ส่งภาพจินตนาการอนาคตของประเทศไทยเอาไว้ผ่านชาวบ้านในตัวเมืองจังหวัดขอนแก่น บ้านเกิดของเขาเอง

保持以往的风格,导演Apichatpong Weerasethakul(Jea)交出通过自己出生地孔敬府农民反映未来的泰国的设想图。

รายล้อมอนุสาวรีย์และรูปปั้นนูนต่ำยกย่องจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้นำเผด็จการทางทหาร (ซึ่งอีก 10 ปีข้างหน้าก็ยังคงอยู่ ในภาพคิดของอภิชาติพงศ์) ชายสองคนนั่งรำลึกความหลังก่อนจะต้องแยกย้ายไปตามเส้นทางชีวิต พ่อค้าซักซ้อมคำโฆษณาชวนเชื่อเพื่อขายหน้ากากนอนหลับสบาย บทสนทนาเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ สลับไปมากับเสียงวงโยธวาฑิตบรรเลงเพลงชาติไทย

在军事独裁者(在Apichatpong构思中未来10年可能还将存在)沙立·他那叻的纪念碑和雕像周围,2位男子坐着,追忆分别后后走上不同人生路的前前后后、商家操练着广告语销售帮助睡眠的面罩、来回切换的对话和军乐队演奏的泰国国歌。

นับว่า Song of the City เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากที่สุด โดยเฉพาะกับคนดูที่ไม่เคยชมภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของอภิชาติพงศ์มาก่อน ยิ่งถ้าหากไม่รู้ปูมหลังของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์กับ “คุณูปการ” ที่เขาสร้างไว้ให้จังหวัดขอนแก่นจนได้รับการยกย่องถึงทุกวันนี้ด้วยแล้ว ก็คงต้องเกาหัวงง ๆ ให้กับเรื่องนี้

《Song of the City》是最难理解的故事,尤其是对于从来没有看过Apichatpong导演的电影的观众;如果不了解沙立·他那叻元帅(前泰国总理)背景和他对孔敬府所做的“贡献”,让孔敬府至今为众人认可,看这个故事更是丈二和尚摸不着头脑了。

声明:本双语文章的中文翻译系沪江泰语原创内容,转载请注明出处。中文翻译仅代表译者个人观点,仅供参考。如有不妥之处,欢迎指正。