去过清迈的同学一定有这样的感觉,那里的语言、文化感觉好像都和在曼谷见到的不太一样,实际上,古代这里可是大名鼎鼎的兰纳王国,曾经也是非常繁荣的,有自己独特的文化,但是后来因为历史原因成为了泰王国的一个行政组成部分,但是也抵挡不住兰纳文化的独特魅力。当时的泰国政府为了建立更加稳定的管理,曾经采取过哪些措施呢?今天我们就来一起看看。

ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ในสยามกำเนิดรัฐแบบใหม่ที่บริหารงานแบบรวมศูนย์ ทำให้จำเป็นต้องสลายอำนาจท้องถิ่นเพื่อดึงทรัพยากรและผู้คนมาเป็นของรัฐบาลส่วนกลาง สำหรับกรณีของล้านนา สยามเลือกใช้วิธีของเข้าอาณานิคมผสมผสานกับธรรมเนียมของรัฐจารีต หากยังขาดจิตสำนึกร่วมชาติ รัชกาลที่ 6 จึงทรงใช้ “การศึกษา” เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
佛历25世纪(1857-1956年)初,暹罗产生了中央集权的新式行政体制,因此必须要消灭地方势力,为中央政府吸收财富和人口。在面对兰纳的时候,暹罗采取了政治和文化双重手段,但是仍然无法使 兰纳产生作为暹罗国民之心,拉玛六世于是采用了教育的手段,来实现统一集权。

ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ ผศ.ดร. เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว ได้ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ ใน “เปิดแผนยึดล้านนา” ในที่นี้ขอคัดย่อเพียงส่วนเกี่ยวกับการมานำเสนอพอสังเขปดังนี้
关于这件事,助理教授Nuaon Khrouthongkhieo博士进行过研究,并且创作了题为《统治兰纳计划》的论文,文章概要如下:

ครั้งนั้นรัฐบาลสยามเร่งจัดตั้งโรงเรียนตัวอย่างในท้องถิ่น ได้แก่ โรงเรียนหลวงที่รัฐบาลกลางจัดตั้งและอุดหนุน, โรงเรียนประชาบาล ที่เจ้าหน้าที่ปกครองท้องที่, ราษฎร และพระสงฆ์ร่วมมือกัน และโรงเรียนราษฎร ที่จัดตั้งโดยเอกชน นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา 2 ฉบับคือ พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2461 และพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464
当时,政府紧急建设了典范学校,比如中央政府建立和资助的皇家学校,当地政府、民众和僧侣共同创建的地方学校,民间创办的国民学校。除此之外,还颁布了两项教育法案,分别是1918年国民教育皇家法案和1921年基础教育皇家法案。

พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2461 กำหนดให้ผู้ที่ต้องการจัดตั้งโรงเรียนต้องไม่เคยเป็นผู้ที่ต้องโทษคดีอาญา ด้วยข้อหากบฏหรือประทุษร้ายต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือแผ่นดิน ครูผู้สอนต้องมีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะใช้สอนและอบรมนักเรียน, โรงเรียนต้องสอนตามหลักสูตรของกระทรวงธรรมการโดยให้เรียนวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และหน้าที่ พลเมืองดี ต้องสอนให้นักเรียนอ่าน เขียน และเข้าใจภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว ตลอดจนปลูกฝังความจงรักภักดีต่อชาติไทย และบังคับให้ทุกโรงเรียนต้องประดับพระบรมรูปของพระเจ้าอยู่หัวและธงชาติไทย รวมทั้งร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี วันละ 1 ครั้งหลังเลิกเรียน
1918年国民教育皇家法案规定学校的创办者不得是曾经背叛国王或国家的刑事犯罪分子,教师需要有足够的泰语知识教授学生,学校要按照泰国教育部规定的课程教授,如:地理、历史、国民义务等课程,要让学生能用泰语流利地读写,很好地理解泰语,培养学生对泰国的热爱,每个学校必须挂泰国国王相和泰国国旗,每天下课必须吟唱一次颂圣歌。

พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 กําหนดให้ เด็กทั้งชายและหญิงทุกคนที่มีอายุ 7-14 ปี ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนประชาบาลโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน, รัฐใช้วิธีเรียกเก็บเงินศึกษาพลีจากชายฉกรรจ์ที่มีอายุ 18-60 ปี คนละ 1-3 บาทเป็นรายปีเพื่ออุดหนุนโรงเรียนประชาบาลในแต่ละท้องที่, เด็กที่ได้รับการยกเว้นจากพระราชบัญญัตินี้คือ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีแต่มีความรู้ประโยคประถมศึกษา เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือสติปัญญา และเด็กที่มีบ้านห่างจากโรงเรียน 3,200 เมตร พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นความพยายามนําเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานและผ่านการปลูกฝังค่านิยมที่พึงประสงค์
1921年基础教育皇家法案规定,7-14岁的泰国儿童有权免费进入政府和国民学校进行学习,政府每年向18-60岁的男性国民征收每人1-3泰铢的费用来支持地方国民学校。不受此法案限制的儿童是年龄低于14岁但已拥有小学阶段的知识,身体或智力有缺陷的儿童,家距离学校超过3200米的儿童,上述法案极力将儿童纳入教育体系,传授基础知 识,培养学生的价值观。

ในมณฑลพายัพ นักเรียนชายและหญิงที่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนสอน หนังสือไทยราวกลางทศวรรษที่ 2460 มีเพียงร้อยละ 17 แต่จากการจัดตั้งโรงเรียนประชาบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา ทําให้เด็กจํานวนมากถูกบังคับให้เข้าโรงเรียนโดยใช้ภาษาไทยกลาง รวมทั้งถูกปลูกฝังแนวคิดจากรัฐส่วนกลางอย่างน้อย 7 ปี ความรู้และวิธีปฏิบัติในโรงเรียนจึงส่งผลต่อการดํารงชีวิตของเด็กเหล่านี้ไม่มากก็น้อย
在当时的Payap省,佛历24世纪60年代中期(1917年-1926年中期,即1921年左右)进入泰语授课的学校的学生比例仅有17%。随着国民学校数量不断增加和基础教育法案颁布之后,很多儿童被迫进入学校接受泰语教育,进行至少长达7年 的国民教育,所获取的知识和实践或多或少都对这些儿童的生计提供了帮助。

ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น วิชาจรรยาต้องสอนให้ เกิดความรักชาติภูมิ จงรักภักดีต่อกษัตริย์ วิชาภูมิศาสตร์และพงศาวดารต้องสอน ให้รู้ว่าสยามเกี่ยวข้องกับประเทศอื่นอย่างไรเพื่อให้เกิดความรักชาติและปรารถนาที่จะ บํารุงบ้านเมืองของตน โดยเฉพาะภูมิศาสตร์สยามต้องสอนให้เด็กสามารถจําแผนที่สยาม รู้จักมณฑลและที่ตั้งของศาลารัฐบาลประจํามณฑล ทางรถไฟ แม่น้ำลําคลอง ภูเขา ฝั่งทะเลและทางไปมาติดต่อกับต่างประเทศ สินค้าสําคัญ และรู้จักภูมิศาสตร์ ประเทศใกล้เคียงที่เกี่ยวกับสยามโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการค้า
至于初级中学教育阶段,需 要教授学生爱国,对国王忠诚,地理和历史学科必须教授,让学生知道暹罗与其他国家的关系,让学生产生爱国之心,愿意为国家做出贡献,尤其是地理学科要让学生记住泰国的地图,认识省份和省政府所在地,认识铁路、运河、山川、海岸线和与其他国家联络的路线、重要商品,懂得邻国的地理状况,尤其是贸易方面。

ที่น่าสนใจคือ วิชาความรู้เรื่องเมืองไทย รัฐบาลมีแนวคิดให้เด็ก
值得注意的是,关于泰国的知识 ,政府规定了:

1.ให้รู้จักวิชาภูมิศาสตร์พอเป็นการเปิดหูเปิดตากับรู้ภูมิศาสตร์ สยามพอเข้าใจพงศาวดารของประเทศสยามทั้งสมัยใหม่และสมัยเก่า
1.了解地理,认识地理 ,开阔眼界,学习古代和现代泰国的历史;

2.ให้รู้พงศาวดารโดยย่อของชาติไทยว่าเดิมสืบกันมาแต่ไหน รวบรวมกันเข้าอย่างไร ต้องแข่งขันสู้รบกับใครบ้าง แล้วเปลี่ยนมาเป็น ลําดับเวลาจนตั้งเป็นหลักฐานดังปรากฏในทุกวันนี้ได้อย่างไร
2.学习泰族的历史,泰 民族的来源,如何形成,经历了和谁的斗争,如何演化到现在;

3.ให้รู้จักวิธีปกครองบ้านเมืองนี้แต่โดยสังเขป คือรู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินคืออะไร กระทรวงมหาดไทย มีไว้ทําไม โรงศาลมีทําไม ทหารมีไว้ทําไม ผู้ใหญ่บ้านคืออะไร ราษฎรจะต้องเชื่อฟังคํา ของหัวหน้าอย่างไร ดังนี้เป็นต้น..
3.简要学习保护国家的方法 ,了解王国、内政部、法院、军队、村长等的作用,国民要听从领导等等。

จะเห็นได้ว่าหลักสูตรและเนื้อหาในแบบเรียนที่สยามสร้างขึ้น นอกจากมุ่งหมายเพื่อปลูกฝังความรู้ที่เกี่ยวกับรัฐประชาชาติ ความรักและภักดีต่อสถาบันชาติ และพระมหากษัตริย์ รับรู้และเชื่อฟังต่ออํานาจรัฐสมัยใหม่ รวมทั้งความเป็นมาของ ชาติไทยแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐที่จะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึง ความแตกต่างทางด้านภูมิภาค เชื้อชาติ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมย่อยของภูมิภาคโดยเฉพาะหัวเมืองประเทศราช
可以看到,暹罗设计的课程和内容,除了持有培养爱国、爱王、服从新政府的目的,即形成泰国人意识,还反映了政府避免提到在地理、种族和文化习俗方面的不同,尤其是当时附属国 的首城。

หลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาในมณฑลพายัพและมณฑลมหาราษฎร์กว่า 3 ปี แต่อัตราการเข้าเรียนของเด็กที่มีอายุตามเกณฑ์มีเพียงร้อยละ 38 หากความพยายามจัดการศึกษาของรัฐเพื่อลบภาพลาวล้านนาออกไปจากการรับรู้ของสังคม และทําให้คนชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เข้ามาอาศัยในสยามรู้สึกถึงความเป็นชาติไทยร่วมกัน สิ่งเหล่านี้เริ่มปรากฏผลราวต้นทศวรรษที่ 2470 ดังรายงาน ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมาซึ่งทรงตั้งข้อสังเกตถึงราษฎรพื้นเมืองที่ผ่าน การศึกษาในโรงเรียนสอนหนังสือไทยไว้ว่า
在宣布Payap和Maharat省实施基础教育法案三年之后,适龄儿童的入学率仅有38%,但是政府实施的教育举措成功消除了社会对兰纳的认知,让暹罗所居住的各个 民族都能感觉到团结一致,结果在20世纪20年代初得以呈现,可以从阿沙当·德差武关于泰国国民学校教育的报告中看出:

“สําหรับคนพื้นเมืองชั้นใหม่ที่ได้เข้าโรงเรียน…ได้รับความฝึกฝนให้อ่านและเขียนหนังสือ และพูดภาษาไทยธรรมดาได้…พวกเหล่านี้เมื่อสามารถเขียนอ่านหนังสือและพูดภาษาไทยธรรมดาแล้ว ก็ดูนิยมที่จะใช้ความรู้ใหม่มากกว่าที่จะลงพูดจาตามเสียงพื้นเมืองที่เคยมาแต่เดิม และรู้สึกว่าสนิทสนมยิ่งขึ้นด้วย…”
“新进到学校的 民众,受到了读写的训练,可以正常说泰语,这些人学会了泰语之后,就不会再像以前那样使用的当语言,会和其他人更加亲密。”

นอกจากนี้กิจวัตรประจำวันอื่นๆ ในโรงเรียน การเล่นกีฬา, การแสดงของนักเรียน, พิธีการต่าง ส่วนใหญ่ก็เลียนแบบกรุงเทพฯ ทั้งหมดนี่คือความพยายามที่จะผสมกลมกลืนชาติพันธุ์ต่างๆ ให้กลายเป็นไทย อีกทั้งมีผลทำให้คนล้านนาใกล้ชิดกับกรุงเทพฯ มากยิ่งขึ้น
除此之外,学校里的各种活动,包括体育、表演、各种仪式,都是模仿曼谷的形式,这些全部都是为了给各个民族披上泰国的外衣,另外也让兰纳人和曼谷人的关系更加亲密。

 

声明:本文由沪江泰语编译整理,素材来自silpa-mag,未经允许不得转载。如有不妥,敬请指正。