三国时期,吕蒙是吴国有名的大将军,因为家里很穷,没有办法让他念书,所以,常常被人笑说吴国的吕蒙只不过是会打仗而已,其实也没多了不起。为了这句玩笑话,他一直非常生气。
ในสมัยสามก๊ก นายพลชื่อดังคนหนึ่งของรัฐอู๋นามหลี่เหมิง ในวัยเด็กครอบครัวยากจนมาก ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ดังนั้นจึงเป็นที่ดูถูกดูแคลนของผู้คนว่า แม่ทัพหลี่เหมิงเป็นแต่ใช้กำลังรบเป็นอย่างเดียว แท้จริงแล้วไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย คำดูถูกนี้ทำให้หลี่เหมิงโกรธแค้นเจ็บใจเป็นอย่างมาก

有一天,吴国的君主孙权严肃地说:“你现在已经是吴国的大将军,拥有很高的权力,如果只有一身武功是不够的,还希望你可以多读点书。”刚开始,吕蒙还说自己太忙,想要推掉孙权的要求,最后受到孙权的鼓励,奋发图强
วันหนึ่ง ซุนเฉียนกล่าวอย่างจริงจังกับเขาว่า “ตอนนี้ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งรัฐอู๋ มีอำนาจสูงสุด แต่หากเป็นแต่วิทยายุทธ์อย่างเดียวไม่เพียงพอ หวังว่าท่านจะร่ำเรียนฝึกอ่านหนังสือเพิ่มเติม”ในตอนแรกหลี่เหมิงอ้างว่าตนยุ่งมาก อยากจะปฏิเสษคำขอร้องของซุนเฉียน ในที่สุดเพราะกำลังใจของซุนเฉียนทำให้เขามานะพากเพียรอ่านหนังสืออย่างมิรู้จักเหนื่อยหน่าย ไม่ช้าไม่นาน หนังสือที่เขาอ่านก็มีจำนวนมากกว่าคนทั่วๆไป

过了两年,鲁肃视察宝地来到了吕蒙的营站。鲁肃知道吕蒙是一介武夫,从心里看不起他。当吕蒙认真的和鲁肃一起讨论军事的时候。而鲁肃却漫步清新,满不在乎地回答说,我没有考虑过,到时候看着办吧。可吕蒙却认真的提出了建议,并说随手提笔,写下意见。写完后交给鲁肃,我一直说你能武不能文,你已经有了很大的改变,跟过去完全不同。士别三日,就该刮目相看。
สองปีผ่านไป มีผู้ตรวจการหลู๋ซู่เดินทางมาตรวจค่ายทหารของหลี่เหมิง หลู่ซู่รู้ว่าหลี่เหมิงเป็นแต่วิทยายุทธ์ ไม่รู้จักหนังสือ จึงแอบดูถูกเขาในใจครั้นหลี่เหมิงอยากจะหารือการทหาร หลู่ซู่ก็ทำท่าไม่สนใจใยดี ตอบไปอย่างเรื่อยเปื่อย ว่าถึงเวลาค่อยจัดการละกัน แต่หลี่เหมิงกลับตั้งใจเสนอความคิดเห็น และทันใดนั้นก็หยิบพู่กันเขียนหนังสือข้อคิดเห็นตนขึ้นมาทันที หลังจากที่เขียนเสร็จก็ยื่นให้กับหลู่ซู่ หลู่ซู่เห็นเช่นนั้นจึงกล่าว ข้าคิดมาตลอดว่าท่านเป็นแต่สู้รบ ไม่รู้จักหนังสือ ท่านเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เป็นคนละคนไปแล้ว เสมือนจากกันไปเพียง 3วัน เจ้าเปลี่ยนแปลงจนข้าต้องขยี้ตามองใหม่!

成语“刮目相看”由此而来,意思是指别人已有进步,不能再用老眼光去看他。
สำนวน"มองด้วยสายตาอันหน้าทึ่ง"(ขยี้ตามองใหม่)ก็มาจากเรื่องนี้นั้นเอง หมายถึงการประเมินบุคคลหนึ่งใหม่ หลังจากจากกันไปชั่วระยะหนึ่ง เพราะเขาเปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไป หรือเป็นการอุปมาถึงการที่ต้องมองด้วยสายตาที่ทึ่งหรือให้เกียรติเขากว่าเดิม